
การจัดการเงินอาจฟังดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมันคือทักษะที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างความมั่นคงทางการเงินได้มากขึ้นเท่านั้น บทความนี้จะนำเสนอ 4 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณควบคุมการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย: ก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง
การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเปรียบเสมือนการส่องกระจกดูสุขภาพทางการเงินของตัวเอง มันช่วยให้คุณเห็นภาพรวมว่าเงินของคุณมาจากไหนและหมดไปกับอะไรบ้าง เมื่อคุณเห็นข้อมูลที่ชัดเจน คุณจะสามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีสติมากขึ้น
วิธีการง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้:
- ใช้แอปพลิเคชันช่วย: มีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาเพื่อการทำบัญชีรายรับ-ราย โดยเฉพาะ เช่น Money Lover, Metang, Budget Planner by Spendee, Piggipo หรือ Oh My Cost ซึ่งใช้งานง่ายและช่วยสรุปข้อมูลให้เห็นภาพ
ใช้สมุดบันทึกหรือสเปรดชีต: สำหรับคนที่ชอบการจดบันทึกแบบดั้งเดิม การใช้สมุดหรือไฟล์ Excel ก็เป็นวิธีที่ดีไม่แพ้กัน
บันทึกให้สม่ำเสมอ: หัวใจสำคัญคือการบันทึกอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดการตกหล่นของข้อมูล
2. ตั้งเป้าหมายทางการเงิน: มีเป้าหมายชัดเจน มีแรงบันดาลใจ
การตั้งเป้าหมายทางการเงินช่วยให้คุณมีทิศทางในการออมและใช้จ่าย เช่น “อยากมีเงินเก็บ 20,000 บาทใน 6 เดือน” หรือ “อยากซื้อบ้านในอีก 5 ปี” การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจและวินัยให้คุณทำตามแผนได้
หลักการตั้งเป้าหมายแบบ SMART:
- S (Specific) เจาะจง: ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น “เก็บเงิน 3,000 บาทต่อเดือน”
- M (Measurable) วัดผลได้: สามารถวัดความก้าวหน้าได้
- A (Achievable) เป็นไปได้จริง: ตั้งเป้าหมายที่ไม่เกินกำลัง
- R (Relevant) เกี่ยวข้องกับชีวิต: สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว
- T (Time-bound) มีกรอบเวลา: กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
3. วางแผนการออมและการลงทุน: ปลดล็อกศักยภาพทางการเงิน ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เมื่อคุณมีวินัยในการใช้จ่ายและมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออมและการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้งอกเงย
- ออมก่อนใช้: สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดสรรเงินออมทันทีที่ได้รับรายได้ อาจจะเริ่มจาก 10% ของรายได้ก่อนก็ได้
- การลงทุนอย่างชาญฉลาด: การลงทุนมีความเสี่ยง แต่หากศึกษาข้อมูลให้ดีก็เป็นวิธีที่ทำให้เงินของคุณเติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม, หุ้น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
4. สร้างกองทุนฉุกเฉิน: เกราะป้องกันทางการเงิน
ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วยกะทันหัน อุบัติเหตุ หรือตกงาน จึงไม่ควรละเลยการเก็บเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งจะเป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้โดยไม่มีหนี้สิน
คนส่วนใหญ่มักมองโลกในแง่ดีว่าอนาคตจะราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงมักละเลยการเก็บเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ในความเป็นจริง เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการตกงานกะทันหัน อุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษา ซึ่งอาจทำให้รายได้ประจำหยุดชะงัก หรือมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่ไม่ได้วางแผนไว้
การมีเงินสำรองฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำให้มีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ แต่หากต้องการความมั่นคงมากขึ้น ควรมีเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่าย 1 ปี เช่น หากค่าใช้จ่ายรายเดือนของคุณอยู่ที่ 15,000 บาท เงินสำรองฉุกเฉินที่ควรมีคือ 15,000 × 12 = 180,000 บาท
เงินในบัญชีนี้ควรมีสภาพคล่องสูง สามารถถอนออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น เก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยดี หรือบัญชีฝากประจำที่ถอนออกมาได้โดยไม่เสียดอกเบี้ย เป็นต้น
ทำไมถึงควรมีกองทุนฉุกเฉิน?
- ลดความเครียดทางการเงิน: เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน คุณจะไม่ต้องกังวลว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้
- หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้: กองทุนนี้ช่วยให้คุณไม่ต้องกดบัตรเครดิตหรือกู้เงินนอกระบบเพื่อมาใช้จ่ายในยามจำเป็น
- สร้างความมั่นคงในระยะยาว: เมื่อคุณมีเงินสำรองแล้ว คุณจะสามารถมุ่งเน้นไปที่การออม และการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวได้เต็มที่
เริ่มต้นอย่างไรดี?
- กำหนดเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายว่าต้องการมีเงินในกองทุนฉุกเฉินเท่าไร ส่วนใหญ่จะแนะนำให้มีเงินเท่ากับค่าใช้จ่ายจำเป็น 3-6 เดือน
- แยกบัญชี: ควรแยกเงินส่วนนี้ออกจากบัญชีเงินเดือน เพื่อไม่ให้นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- ทยอยสะสม: เริ่มต้นจากเงินจำนวนน้อยๆ และสะสมไปเรื่อยๆ ทุกเดือนจนกว่าจะครบเป้าหมาย
การมีกองทุนฉุกเฉินจะช่วยให้คุณอุ่นใจ และมีอิสระทางการเงินมากขึ้นในระยะยาว
การจัดการเงินไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เริ่มต้นด้วย 4 เทคนิคง่าย ๆ เหล่านี้ คุณก็สามารถวางรากฐานเพื่ออนาคตทางการเงินที่มั่นคงได้แล้ว ลองนำไปปรับใช้และเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก:
– ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
– ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
– Aommoney
– Finnomena




